ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๗ ที่ตำบลราษฏร์บูรณะ จังหวัดนนทบุรี และย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านวนบางเสา หรือบ้านคงขนาน หมู่ที่ ๑ ตำบล บางพระ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ท่านมีพี่น้องจำนวนมาก ท่านครองฆราวาสอายุได้ ๒๒ ปี แล้วได้สละเพศฆราวาสออกบรรพชาอุปสมบทกรรม ณ. พัทสีมาวัดไชยภูมิธาราม (ท่าอิฐ)ในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ โดยมีท่านเจ้าอธิการเพ็ง เจ้าอาวาสวัดท่าอิฐ ในขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌายะ
และมีท่านพระอาจารย์อินทร์ เป็นกรรมวาจาจารย์ ส่วนพระอนุสวนาจารย์สืบไม่แน่ว่าเป็นใคร ท่านได้จำพรรษาอยู่ ณ.วัดไชยภูมิธาราม (ท่าอิฐ) ระหว่างที่จำพรรษาอยู่นั้นท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัย และ ปฎิบัติพระกรรมฐาน รวมทั้งวิชา รักษาโรคแผนโบราณต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับกระดูกท่านจะชำนาญเป็นพิเศษ และยังศึกษา วิชาอาคมต่างๆจากตำราโบราณของทางวัดและยังศึกษากับพระอุปฌายะของท่านจนท่านมีความชำนาญในสัพวิชาต่างๆและได้สงเคราะห์ญาติโยม เป็นที่พึ่งพิงของชาวบ้านในระแวกนั้น ครั้นพรรษาได้ ๓๐ เศษ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอธิการปกครองวัดไชยภูมิธาราม (ท่าอิฐ)สืบต่อจากพระอาจารย์อินทร์ พระอธิการเผงปกครองวัดมาได้ ๖๒ พรรษา ก็เริ่ม อาพาธเป็นโรคชราภาพ ครั้นถึงเดือน ๔ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ในเดือน กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.๒๔๘๑ โรคชราได้กำเริบขึ้น สุดความสามารถที่แพทย์จะเยียวยาได้ ที่สุดท่าน ก็ละสังขาร เวลา ๑นาฬิกาเที่ยงคืนของวันนั้น คำนวนอายุของท่านได้ ๘๔ ปี พรรษา ๖๒
จากนั้นทางวัดได้ทำการบำเพ็ญกุศลปลงสังขารของท่าน ย้อนไปตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่ด้สร้างวัติถุมงคล ไว้สักเท่าไรนัก ฟังจากคำบอกเล่าของคนรุ่นเก่าๆ ก็พอจะมี คือ ตะกรุด และพระปิดตาผงคุกรักจุ่มรัก ซึ่งสร้างไว้น้อยมาก ทางวัดและบรรดาลูกศิษย์ จึงเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะจัดสร้างเหรียญที่ระลึกเป็นรูปท่านไว้เพื่อบูชาคุณของท่าน และเอาไว้แจกบรรดาลูกศิษย์ ในงานปลงสังขารของท่าน ในการจัดสร้างเหรียญตามที่ทราบมานั้น มีเนื้อนากประมาณไม่เกิน ๑๐ เหรียญ เนื้อเงิน ประมาณ ๑๐๐เหรียญ เนื้อทองแดงประมาณ ๑๐๐๐ เหรียญ และเนื้ออลูมิเนียม(ขาปิ่นโต) ประมาณ ๒๐๐ เหรียญ ทำการปลุกเสกโดย พระครูเล็ก (วัดท่าอิฐ) หลวงพ่อดิ่ง (วัดบางวัว) หลวงพ่อเสือ (วัดสามกอ) และเกจิอาจารย์ในยุคนั้นอีกหลายท่าน ตามที่พบลายมือ ที่จารในเหรียญ ประมาณ ๘ ลายมือ หลังจากปลงสังขารของท่านแล้ว ทางชาวบ้านก็ได้นิมนต์ พระครูเล็ก ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส สืบต่อมา